ความเป็นมาของการพากย์ภาพยนตร์ในประเทศไทย
ข้อมูลข้างล่างนี้ ได้มาจาก "สมาคมนักพากย์ภาพยนตร์แห่งประเทศไทย"(Film Versionist Association)และขอบคุณ พอเพียง มากๆนะครับ ได้ความรู้เยอะแยะเลย
ในสมัยก่อน ก่อนที่จะมีโทรทัศน์ ... ความบันเทิงของคนไทยนั้น
ถ้าเป็นคนในกรุงเทพฯ ก็จะอยู่กับละครเวทีเป็นส่วนใหญ่
ถ้าเป็นภาคกลาง ก็เป็นลิเก
ถ้าเป็นปักษ์ใต้ ก็เป็นโนรา
และถ้าเป็นภาคอีสาน ก็จะเป็นลำเพลิน
จนต่อมา มีการนำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาฉายในเมืองไทย
เมื่อมีการนำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาฉายในเมืองไทยแ ล้ว ในกรุงเทพฯ เอง ละครเวทีได้รับผลกระทบมาก
จนค่อย ๆ เลือนหายไป โรงที่ใช้เล่นละครจึงถูกดัดแปลงเป็นโรงฉายภาพยนตร์
การนำภาพยนตร์มาฉายนั้น หากเป็นภาพยนตร์มีเสียงในฟิล์ม ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการพากย์ไทย
มิฉะนั้น คนดูจะไม่รู้เรื่อง จึงเกิดอาชีพ "พากย์ภาพยนตร์" หรือ "พากย์หนัง" ขึ้นมา
แม้กระทั่ง เมื่อมีการสร้างภาพยนตร์ไทยขึ้นเอง ในยุคแรก ๆ เป็นภาพยนตร์ขนาด 16 มม.
เนื้อฟิล์มไม่มีพื้นที่พอให้บันทึกเสียง เวลาสร้างเสร็จแล้วนำออกฉาย จึงต้องมีคนพากย์ติดสอยห้อยตามไปด้วย
โดยแต่ละภาคจะมีนักพากย์ประจำสาย เสียงพระเอก-นางเอก จึงแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น
นักพากย์สมัยก่อนที่ดัง ๆ ก็มี...
"ทิดเขียว" (สิน สีบุญเรือง) ท่านผู้นี้ วงการนักพากย์ยกให้เป็นปรมาจารย์การพากย์ และเป็น"บิดาของนักพากย์"
"พันคำ" (พร้อมสิน สีบุญเรือง) เป็นบุตรชายของทิดเขียว
"หม่อมหลวงรุจิราและมารศรี อิศรางกูร" ... หม่อมหลวงรุจิรา เสียชีวิตไปแล้ว เหลืออยู่แต่ "ป้ามารศรี" - นักแสดงผู้มากความสามารถ
ยุคต่อมา มีการสร้างภาพยนตร์ขนาด 35 มม. ฟิล์มมีความกว้างให้บันทึกเสียงได้
แต่ในระยะแรก ๆ ยังไม่มีการบันทึกเสียงจริงของนักแสดง คงถ่ายทำไปก่อน แล้วจึงพากย์เสียงใส่ลงไปทีหลัง
เวลานำภาพยนตร์ออกฉาย เสียงของพระเอก-นางเอก จะมีเสียงหล่อเหมือนกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็น
"มิตร ชัยบัญชา" "สมบัติ เมทะนี" "ยอดชาย เมฆสุวรรณ" หรือ "ครรชิต ขวัญประชา"
ภายหลัง หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ทรงริเริ่มใช้ระบบ "ซาวนด์ ออน ฟิล์ม" (Sound on Film) คือ บันทึกเสียงจริง
ของนักแสดงลงบนแผ่นฟิล์มเลย .......... นับแต่นั้นมา ผู้ชมภาพยนตร์จึงได้สัมผัสเสียงดาราว่าจริง ๆ แล้ว
เสียงของดาราที่ตนชื่นชอบเป็นอย่างไร.
ให้สัมภาษณ์โดย "ชูชาติ อินทร" - หัวหน้าทีมพากย์อินทรีข้อมูลทั้งหมดจาก :
http://www.siamdvd.net